เมนู

พรหมจริยกถา


[255] สกวาที การประพฤติพรหมจรรย์ไม่มีในหมู่เทวดา
หรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว.
ส. เทวดาทั้งหมด เป็นผู้เงอะงะ เป็นใบ้ ไม่รู้
เดียงสา ใช้ภาษาใบ้ ไม่มีกำลังพอรู้ความแห่งคำที่กล่าวดีกล่าวชั่ว เทวดา
ทั้งหมด ไม่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ไม่เลื่อมใสในพระธรรม ไม่เลื่อมใส
ในพระสงฆ์ ไม่เข้าไปนั่งใกล้พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ไม่ทูลถามปัญหา
กับพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าไม่ชื่นชมในปัญหาที่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า
วิสัชนาแล้ว เทวดาทั้งหมดประกอบด้วยกัมมาวรณ์ กิเลสาวรณ์ วิปากา-
วรณ์ ไม่มีศรัทธา ไม่มีฉันทะ เป็นผู้มีปัญญาทราม เป็นผู้ไม่ควร
เพื่อก้าวลงสู่ความแน่นอนอันเป็นทางชอบในกุศลธรรมทั้งหลาย เทวดา
ทั้งหมดเป็นผู้ทำมาตุฆาต เป็นผู้ทำปิตุฆาต เป็นผู้ทำอรหันตฆาต เป็น
ผู้ทำโลหิตุปบาท เป็นผู้ทำสังฆเภท เทวดาทั้งหมดเป็นผู้ทำปาณาติบาต
เป็นผู้ทำอทินนาทาน เป็นผู้ประพฤติผิดในกาม เป็นผู้กล่าวมุสาวาท
เป็นผู้กล่าวปิสุณาวาท เป็นผูกกล่าวผรุสวาท เป็นผู้กล่าวสัมผัปปลาปวาท
เป็นผู้มากด้วยอภิชฌา เป็นผู้มีจิตพยาบาท เป็นมิจฉาทิฏฐิ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. เทวดาที่ไม่เป็นผู้เงอะงะ ไม่เป็นใบ้ เป็นผู้รู้
เดียงสาไม่ใช้ภาษาใบ้ มีกำลังพอจะรู้เนื้อความแห่งคำที่กล่าวดีหรือชั่ว

มีอยู่ เทวดาที่เลื่อม ในพระพุทธเจ้า เลื่อมใสในพระธรรม เลื่อมใส
ในพระสงฆ์ เข้าไปนั่งใกล้พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ทูลถามปัญหากะ
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ชื่นชมในปัญหาที่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า
วิสัชนาแล้ว ก็มีอยู่ เทวดาที่ไม่ประกอบด้วยกัมมาวรณ์ ไม่ประกอบด้วย
กิเลสาวรณ์ ไม่ประกอบด้วยวิปากาวรณ์ เป็นผู้มีศรัทธา เป็นผู้มีฉันทะ
เป็นผู้มีปัญญา เป็นผู้ควรเพื่อจะก้าวลงสู่ความแน่นอน อันเป็นทางชอบ
ในกุศลธรรมทั้งหลาย ก็มีอยู่ เทวดาที่ไม่เป็นผู้ทำมาตุฆาต ไม่เป็นผู้ทำ
ปิตุฆาต ไม่เป็นผู้ทำอรหันตฆาต ไม่เป็นผู้ทำโลหิตุปบาท ไม่เป็นผู้ทำ
สังฆเภท ก็มีอยู่ เทวดาที่ไม่เป็นผู้ทำปาณาติบาต ไม่เป็นผู้ทำอทินนา-
ทาน ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่กล่าวมุสาวาท ไม่กล่าวปิสุณาวาท
ไม่กล่าวผรุสวาท ไม่กล่าวสัมผัปปลาปวาท มิใช่ผู้มากด้วยอภิชฌา มิใช่
ผู้มีจิตพยาบาท เป็นสัมมาทิฏฐิ ก็มิอยู่มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า เทวดาที่ไม่เป็นผู้เงอะงะ ไม่เป็นใบ้
เป็นผู้รู้เดียงสา ไม่ใช้ภาษาใบ้ มีกำลังพอจะรู้เนื้อความแห่งคำที่กล่าวดี
กล่าวชั่ว มีอยู่ ฯ ล ฯ เทวดาที่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ฯ ล ฯ เป็น
สัมมาทิฏฐิ ก็มีอยู่ ก็ต้องไม่กล่าวว่า การประพฤติพรหมจรรย์ไม่มีใน
หมู่เทวดา.
[256] ป. การประพฤติพรหมจรรย์มีอยู่ในหมู่เทวดา หรือ
ส. ถูกแล้ว.

ป. ในหมู่เทวดานั้น มีการบรรพชา ปลงผม ทรง
ผ้ากาสาวะ ทรงบาตร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นได้ พระปัจเจก-
พุทธเจ้าก็อุบัติขึ้นได้ คู่แห่งพระสาวกก็อุบัติขึ้นได้ ในหมู่เทวดา หรือ ?
ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[257] ส. เพราะในหมู่เทวดาไม่มีการบรรพชา ฉะนั้น
การประพฤติพรหมจรรย์จึงไม่มีในหมู่เทวดา หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ในที่ใดมีการบรรพชา ในที่นั้นแลมีการประ-
พฤติพรหมจรรย์ ในที่ใดไม่มีการบรรพชา ในที่นั้นไม่มีการประพฤติ-
พรหมจรรย์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. ในที่ใดมีการบรรพชา ในที่นั้นแลมีการประ-
พฤติพรหมจรรย์ ในที่ใดไม่มีการบรรพชา ในที่นั้นไม่มีการประพฤติ-
พรหมจรรย์ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ผู้ใดบรรพชา ผู้นั้นแลมีการประพฤติพรหม-
จรรย์ ผู้ใดไม่บรรพชา ผู้นั้นไม่มีการประพฤติพรหมจรรย์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[258] ส. เพราะในหมู่เทวดาไม่มีการปลงผม ฉะนั้น การ
ประพฤติพรหมจรรย์จึงไม่มีในหมู่เทวดา หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.

ส. ในที่ใดมีการปลงผม ในที่นั้นแลมีการประพฤติ
พรหมจรรย์ ในที่ใดไม่มีการปลงผม ในที่นั้นไม่มีการประพฤติพรหม-
จรรย์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. ในที่ใดมีการปลงผม ในที่นั้นแลมีการประพฤติ-
พรหมจรรย์ ในที่ใดไม่มีการปลงผม ในที่นั้นไม่มีการประพฤติพรหม-
จรรย์ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ผู้ใด ปลงผม ผู้นั้นแลมีการประพฤติพรหมจรรย์
ผู้ใดไม่ปลงผม ผู้นั้นไม่มีการประพฤติพรหมจรรย์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[259] ส. เพราะในหมู่เทวดา ไม่มีการทรงผ้ากาสาวะ
ฉะนั้น การประพฤติพรหมจรรย์จึงไม่มีในหมู่เทวดา หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ในที่ใดมีการทรงผ้ากาสาวะ ในที่นั้นแลมีการ
ประพฤติพรหมจรรย์ ในที่ใดไม่มีการทรงผ้ากาสาวะ ในที่นั้นไม่มีการ
ประพฤติพรหมจรรย์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. ในที่ใดมีการทรงผ้ากาสาวะ ในที่นั้นแลมีการ
ประพฤติพรหมจรรย์ ในที่ใดไม่มีการทรงผ้ากาสาวะ ในที่นั้นไม่มีการ
ประพฤติพรหมจรรย์ หรือ ?

ป. ถูกแล้ว.
ส. ผู้ใดทรงผ้ากาสาวะ ผู้นั้นมีการประพฤติพรหม-
จรรย์ ผู้ใดไม่ทรงผ้ากาสาวะ ผู้นั้นไม่มีการประพฤติพรหมจรรย์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[260] ส. เพราะในหมู่เทวดา ไม่มีการทรงบาตร ฉะนั้น
การประพฤติพรหมจรรย์ จึงไม่มีในหมู่เทวดา หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ในที่ใดมีการทรงบาตร ในที่นั้นแลมีการประ-
พฤติพรหมจรรย์ ในที่ใดไม่มีการทรงบาตร ในที่นั้นไม่มีการประพฤติ
พรหมจรรย์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. ในที่ใดมีการทรงบาตร ในที่นั้นมีการประ-
พฤติพรหมจรรย์ ในที่ใดไม่มีการทรงบาตร ในที่นั้นไม่มีการประพฤติ
พรหมจรรย์ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ผู้ใดทรงบาตร ผู้นั้นมีการประพฤติพรหมจรรย์
ผู้ใดไม่ทรงบาตร ผู้นั้นไม่มีการประพฤติพรหมจรรย์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[261] ส. เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่อุบัติขึ้นในหมู่
เทวดา ฉะนั้น การประพฤติพรหมจรรย์จึงไม่มีในหมู่เทวดา หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.

ส. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายอุบัติขึ้นในที่ใด
ในที่นั้นแลมีการประพฤติพรหมจรรย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อุบัติขึ้น
ในที่ใด ในที่นั้นไม่มีการประพฤติพรหมจรรย์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในที่ใด ในที่นั้น
แลมีการประพฤติพรหมจรรย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อุบัติขึ้นในที่ใด
ในที่นั้นไม่มีการประพฤติพรหมจรรย์ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคประสูติที่สวนลุมพินี ตรัสรู้ที่
ควงไม้โพธิ์ พระผู้มีพระภาคยังธรรมจักรให้เป็นไปแล้วที่เมืองพาราณสี
ในที่นั้น ๆ เทียวมีการประพฤติพรหมจรรย์ ในที่อื่นไม่มีการประพฤติ
พรหมจรรย์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[262] ส. เพราะพระปัจเจกสัมพุทธเจ้า ไม่อุบัติขึ้นในหมู่
เทวดา ฉะนั้น การประพฤติพรหมจรรย์จึงไม่มีในหมู่เทวดา หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในที่ใด ในที่นั้น
แลมีการประพฤติพรหมจรรย์ พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าไม่อุบัติขึ้นในที่ใด
ในที่นั้นไม่มีการประพฤติพรหมจรรย์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในที่ใด ในที่นั้น

แลมีการประพฤติพรหมจรรย์ พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าไม่อุบัติขึ้นในที่ใด
ในที่นั้นไม่มีการประพฤติพรหมจรรย์ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในมัชฌิมชนบท
ในมัชฌิมชนบทนั้นแล มีการประพฤติพรหมจรรย์ ในที่อื่นไม่มีการ
ประพฤติพรหมจรรย์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[263] ส. เพราะคู่พระสาวกไม่อุบัติขึ้นในหมู่เทวดา ฉะนั้น
การประพฤติพรหมจรรย์จึงไม่มีในหมู่เทวดา หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. คู่พระสาวกอุบัติขึ้นในที่ใด ในที่นั้นแลมีการ
ประพฤติพรหมจรรย์ คู่พระสาวกไม่อุบัติขึ้นในที่ใด ในที่นั้นไม่มีการ
ประพฤติพรหมจรรย์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. คู่พระสาวกอุบัติขึ้นในที่ใด ในที่นั้นแลมีการ
ประพฤติพรหมจรรย์ คู่พระสาวกไม่อุบัติขึ้นในที่ใด ในที่นั้นไม่มีการ
ประพฤติพรหมจรรย์ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. คู่พระสาวกได้อุบัติแล้วในมคธชนบท ในมคธ
ชนบทนั้นแลมีการประพฤติพรหมจรรย์ ในที่อื่นไม่มีการประพฤติ
พรหมจรรย์ หรือ ?

ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[264] ป. การประพฤติพรหมจรรย์มีอยู่ในหมู่เทวดาหรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. การประพฤติพรหมจรรย์มีอยู่ในหมู่เทวดาหรือ ?
ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[265] ป. การประพฤติพรหมจรรย์มีอยู่ในหมู่มนุษย์ หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. การประพฤติพรหมจรรย์มีอยู่ในหมู่มนุษย์ทุกหมู่
หรือ ?
ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[266 ] ป. การประพฤติพรหมจรรย์มีอยู่ในหมู่เทวดาหรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. การประพฤติพรหมจรรย์ มีอยู่ในหมู่เทวดา
เหล่าอสัญญีสัตว์ หรือ ?
ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[267] ป. การประพฤติพรหมจรรย์มีอยู่ในหมู่มนุษย์หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. การประพฤติพรหมจรรย์มีอยู่ในชาวชนบท
พวกปลายเขต ปลายแดน เป็นมิลักขุ ไม่รู้ประสา เป็นที่ซึ่งภิกษุ
ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไปไม่ถึง หรือ ?
ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ

[268] ป. การประพฤติพรหมจรรย์มีอยู่ในหมู่เทวดาหรือ ?
ส. ที่มีก็มี ที่ไม่มีก็มี.
ป. ในหมู่เทวดาเหล่าอสัญญีสัตว์ ที่มีการประพฤติ-
พรหมจรรย์ก็มี ที่ไม่มีก็มี ในหมู่เทวดาเหล่าสัญญีสัตว์ ที่มีการประพฤติ-
พรหมจรรย์ก็มี ที่ไม่มีก็มี หรือ ?
ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ป. ในหมู่เทวดา ที่มีการประพฤติพรหมจรรย์ก็มี
ที่ไม่มีก็มี หรือ ?
ว. ถูกแล้ว.
ป. มีในที่ไหน ไม่มีในที่ไหน ?
ส. การประพฤติพรหมจรรย์ไม่มีในเทวดาเหล่า
อสัญญีสัตว์ การประพฤติพรหมจรรย์ในเทวดาเหล่าสัญญีสัตว์.
ป. การประพฤติพรหมจรรย์ไม่มีในเทวดาเหล่า
อสัญญีสัตว์ หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. การประพฤติพรหมจรรย์ไม่มีในเทวดาเหล่า
สัญญีสัตว์ หรือ ?
ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ป. การประพฤติพรหมจรรย์มีในเทวดาเหล่าสัญญี
สัตว์ หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.

ป. การประพฤติพรหมจรรย์มีในเทวดาเหล่าอสัญญี
สัตว์ หรือ ?
ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[269 ] ส. การประพฤติพรหมจรรย์มีในหมู่มนุษย์ หรือ ?
ส. ที่มีก็มี ที่ไม่มีก็มี.
ป. ในชาวชนบทพวกปลายเขตปลายแดน เป็น
มิลักขูไม่รู้ประสา เป็นที่ซึ่งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไปไม่ถึง
ที่มีการประพฤติพรหมจรรย์ก็มี ที่ไม่มีก็มี ในชาวชนบทพวกที่อยู่ร่วม
ใน มัชฌิมชนบท ที่มีการประพฤติพรหมจรรย์ก็มี ที่ไม่มีก็มี หรือ ?
ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[270] ป. ในหมู่มนุษย์ ที่มีการประพฤติพรหมจรรย์ก็มี
ที่ไม่มีก็มี หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. มีในที่ไหน ไม่มีในที่ไหน ?
ส. การประพฤติพรหมจรรย์ ไม่มีในชาวชนบท
พวกปลายเขตปลายแดน เป็นมิลักขุ ไม่รู้ประสา ที่ภิกษุ ภิกษุณี
อุบาสก อุบาสิกา ไปไม่ถึง การประพฤติพรหมจรรย์มีในชาวชนบท
พวกที่อยู่ร่วมใน.
ป. การประพฤติพรหมจรรย์ไม่มีในชาวชนบท
พวกปลายเขตปลายแดน เป็นมิลักขุ ไม่รู้ประสา ที่ภิกษุ ภิกษุณีอุบาสก
อุบาสิกาไปไม่ถึง หรือ ?

ส. ถูกแล้ว.
ป. การประพฤติพรหมจรรย์ไม่มีในชาวชนบทที่อยู่
ร่วมใน หรือ ?
ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ป. การประพฤติพรหมจรรย์มีในชาวชนบทพวกที่
อยู่ร่วมใน หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. การประพฤติพรหมจรรย์มีในชาวชนบทพวกที่
อยู่ปลายเขตปลายแดน เป็นมิลักขุ ไม่รู้ประสา ที่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก
อุบาสิกา ไปไม่ถึง หรือ ?
ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[271] ป. การประพฤติพรหมจรรย์มีในหมู่เทวดา หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีป ย่อมครอบงำมนุษย์ชาวอุตตรกุรุ-
ทวีป และเทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ 3 ประการ 3 ประการ
อะไรบ้าง คือกล้า 1 มีสติ 1 มีการประพฤติพรหมจรรย์ ณ ที่นี้ 1
ดังนี้1 เป็นสูตรมีอยู่จริง มิใช่จริง ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. ถ้าอย่างนั้น การประพฤติพรหมจรรย์ก็ไม่มีใน
1. องฺ. นวกฺ 23/225

หมู่เทวดาน่ะสิ.
ส. พระผู้มีพระภาคได้ตรัส เมืองสาวัตถีว่า มีการ
ประพฤติพรหมจรรย์
ณ ที่นี้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. การประพฤติพรหมจรรย์มี ณ เมืองสาวัตถี
เท่านั้น การประพฤติพรหมจรรย์ไม่มีในที่อื่น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. บุคคลผู้อนาคามี ละสัญโญชน์ อันเป็นไปใน
ส่วนเบื้องต่ำ 5 ได้แล้ว แต่ยังละสัญโญชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องบน 5
ไม่ได้ เมื่อท่านเคลื่อนจากโลกนี้ บังเกิดในหมู่เทวดานั้นแล้ว ผลบังเกิด
ขึ้นในที่ไหน ?
ป. ในหมู่เทวดานั้นแล.
ส. หากว่าบุคคลผู้อนาคามี ละสัญโญชน์อันเป็นไป
ในส่วนเบื้องต่ำ 5 ได้แล้ว แต่ยังละสัญโญชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้อง
บน 5 ไม่ได้ เมื่อท่านเคลื่อนจากโลกนี้ บังเกิดในหมู่เทวดานั้นแล้ว
ผลก็บังเกิดขึ้นในหมู่เทวดานั้น ก็ต้องไม่กล่าวว่า การประพฤติพรหม-
จรรย์ไม่มีในหมู่เทวดา.
ส. บุคคลผู้อนาคามี ละสัญโญชน์อันเป็นไปในส่วน
เบื้องต่ำ 5 ได้แล้ว แต่ยังละสัญโญชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องบน 5
ไม่ได้ เมื่อท่านเคลื่อนจากโลกนี้ บังเกิดในหมู่เทวดานั้นแล้ว มีการ
ปลงภาระ ณ ที่ไหน... มีการกำหนดรู้ทุกข์ ณ ที่ไหน... มีการละ

กิเลส ณ ที่ไหน... มีการกระทำให้แจ้งซึ่งนิโรธ ณ ที่ไหน... มีการ
แทงตลอดซึ่งอกุปปธรรม ณ ที่ไหน ?
ป. ในหมู่เทวดานั้นแล.
ส. หากว่าบุคคลผู้อนาคามี ละสัญโญชน์อันเป็นไป
ในส่วนเบื้องต่ำได้แล้ว แต่ยังละสัญโญชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องบน 5
ไม่ได้ เมื่อท่านเคลื่อนจากโลกนี้ บังเกิดขึ้นหมู่เทวดานั้นแล้ว มีการ
แทงตลอดซึ่งอกุปปธรรมในหมู่เทวดานั้น ก็ต้องไม่กล่าวว่า การประ-
พฤติพรหมจรรย์ไม่มีในหมู่เทวดา.
ส. บุคคลผู้อนาคามี ละสัญโญชน์อันเป็นไปในส่วน
เบื้องต่ำ 5 ได้แล้ว แต่ยังละสัญโญชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องบน 5
ไม่ได้ เมื่อท่านเคลื่อนจากโลกนี้บังเกิดขึ้นหมู่เทวดานั้นแล้ว ผลก็บังเกิด
ในหมู่เทวดานั้น การปลงภาระก็ในหมู่เทวดานั้น การกำหนดรู้ก็ใน
หมู่เทวดานั้น การละกิเลสก็ในหมู่เทวดานั้น การทำให้แจ้งซึ่งนิโรธ
ก็ในหมู่เทวดานั้น การแทงตลอดซึ่งอกุปปธรรมก็ในหมู่เทวดานั้น ก็
โดยอรรถเป็นไฉนเล่า ท่านจึงกล่าวว่า การประพฤติพรหมจรรย์ไม่มี
ในหมู่เทวดา.
ป. ก็เพราะบุคคลผู้อนาคามีกระทำให้แจ้งซึ่งผล ใน
หมู่เทวดานั้น ด้วยมรรคที่ท่านให้เกิดแล้วในโลกนี้นั่นแล.
[272] ส. บุคคลผู้อนาคามี ทำให้แจ้งซึ่งผลในหมู่เทวดา
นั้นด้วยมรรคอันท่านให้เกิดแล้วในโลกนี้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.

ส. บุคคลผู้โสดาบันทำให้แจ้งซึ่งผลในโลกนี้ ด้วย
มรรคอันท่านให้เกิดแล้วในหมู่เทวดานั้น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. บุคคลผู้อนาคามี ทำให้แจ้งซึ่งผลในหมู่เทวดา
นั้นด้วยมรรคอันท่านให้เกิดแล้วในโลกนี้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลผู้สกทาคามี เป็นบุคคลผู้จะปรินิพพานใน
โลกนี้ กระทำให้แจ้งซึ่งผลในโลกนี้ ด้วยมรรคอันท่านให้เกิดแล้วใน
หมู่เทวดานั้น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. บุคคลผู้โสดาบัน ทำให้แจ้งซึ่งผลในโลกนี้ด้วย
มรรคอันท่านให้เกิดแล้วในโลกนี้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลผู้อนาคามี ทำให้แจ้งซึ่งผลในหมู่เทวดา
นั้น ด้วยมรรคอันท่านให้เกิดแล้วในหมู่เทวดานั้น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. บุคคลผู้สกทาคามี เป็นบุคคลผู้จะปรินิพพานใน
โลกนี้ ทำให้แจ้งซึ่งผลในโลกนี้ ด้วยมรรคอันท่านให้เกิดแล้วในโลกนี้
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลผู้อนาคามี ทำให้แจ้งซึ่งผลในหมู่เทวดา

นั้น ด้วยมรรคอันท่านให้เกิดแล้วในหมู่เทวดานั้น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[273] ส. บุคคลผู้อิธวิหายนิฏฐะ1 จะไม่ยังมรรคให้เกิด
และละกิเลสทั้งหลายอีก หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล
จะไม่ยังมรรคให้เกิดและละกิเลสทั้งหลายอีก หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. บุคคลผู้อิธวิหายนิฏฐะ จะไม่ยังมรรคให้เกิด
และละกิเลสทั้งหลายอีก หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล
ฯล ฯ บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอรหัตตผล จะไม่ยังมรรคให้
เกิดและละกิเลสทั้งหลายอีก หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[274] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล
ยังมรรคให้เกิดและกิเลสทั้งหลายไม่ก่อนไม่หลัง หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลผู้อิธวิหายนิฏฐะ ยังมรรคให้เกิดและละ
กิเลสทั้งหลายไม่ก่อนไม่หลัง หรือ ?
1. พระอนาคามี ผู้ยังมรรคให้เกิดแล้วในโลกนี้ อิธวิหายนิฏฐะ

ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล
ฯ ล ฯ บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอรหัตตผล ยังมรรคให้เกิด
และละกิเลสทั้งหลายไม่ก่อนไม่หลัง หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลผู้อิธวิหายนิฏฐะยังมรรคให้เกิดและละ
กิเลสทั้งหลายไม่ก่อนไม่หลัง หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[275] ส. บุคคลผู้อนาคามี มีกรณียะอันกระทำแล้ว มี
ภาวนาอันอบรมแล้ว จึงผลุดเกิดในหมู่เทวดานั้น หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ผลุดเกิดเป็นพระอรหันต์เลย หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. ผลุดเกิดเป็นพระอรหันต์เลย หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์มีภพใหม่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. พระอรหันต์มีภพใหม่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ไปสู่ภพจากภพ ไปสู่คติจากคติ ไป
สู่สงสารจากสงสาร ไปสู่อุบัติจากอุบัติ หรือ ?

ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[276] ส. บุคคลผู้อนาคามี เป็นผู้มีกรณียะอันการทำแล้ว
มีภาวนาอันอบรมแล้ว แต่เป็นผู้มีภาระอันยังไม่ปลงลงแล้ว ผลุดเกิด
ในหมู่เทวดานั้น หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลผู้อนาคามี จะต้องยังมรรคให้เกิดอีกเพื่อ
ปลงภาระ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[277] ส. บุคคลผู้อนาคามี เป็นผู้มีกรณียะอันกระทำแล้ว
มีภาวนาอันอบรมแล้ว แต่เป็นผู้มีทุกข์อันยังไม่กำหนดรู้... มีกิเลสอัน
ยังไม่ได้ละ... มีนิโรธอันยังไม่ได้กระทำให้แจ้ง... มีอกุปปธรรมอันยัง
ไม่ได้แทงตลอด ผลุดเกิดในหมู่เทวดานั้น หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บุคคลผู้อนาคามี จะต้องยังมรรคให้เกิดอีกเพื่อ
แทงตลอดอกุปปธรรม หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[278] ส. บุคคลผู้อนาคามี เป็นผู้มีกรณียะอันกระทำแล้ว
มีภาวนาอันอบรมแล้ว แต่เป็นผู้มีภาระอันยังไม่ปลงแล้ว ผลุดเกิด
ในหมู่เทวดานั้น จะไม่ยังมรรคให้เกิดอีกเพื่อปลงภาระ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.

ส. เป็นผู้มีภาระอันไม่ปลงลงแล้ว ปรินิพพานใน
หมู่เทวดานั้น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. บุคคลผู้อนาคามี เป็นผู้มีกรณียะอันกระทำแล้ว
มีภาวนาอันอบรมแล้ว แต่เป็นผู้มีทุกข์อันยังไม่ได้กำหนดรู้... มีกิเลส
อันยังไม่ได้ละ... มีนิโรธอันยังไม่ได้กระทำให้แจ้ง... มีอกุปปธรรม
อันยังไม่ได้แทงตลอด ผลุดเกิดในหมู่เทวดานั้น จะไม่ยังมรรคให้เกิด
อีก เพื่อแทงตลอดอกุปปธรรม หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เป็นผู้มีอกุปปธรรมอันไม่แทงตลอดแล้ว ปริ-
นิพพานในหมู่เทวดานั้น หรือ ?
ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ป. เนื้อที่ถูกยิงด้วยลูกศร แม้ไปได้ไกล ก็ต้อง
ตายฉันใดบุคคลผู้อนาคามี ก็จะกระทำให้แจ้งซึ่งผลในหมู่เทวดานั้นด้วย
มรรคอันท่านให้เกิดแล้วในโลกนี้ ฉันนั้น.
ส. เนื้อที่ถูกยิงด้วยลูกศร แม้ไปได้ไกล ก็มีลูกศร
ติดอยู่ ตายฉันใด บุคคลผู้อนาคามี ก็มีลูกศรติดอยู่ ปรินิพพานใน
หมู่เทวดานั้น ด้วยมรรคอันท่านให้เกิดแล้วในโลกนี้ ฉันนั้น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
พรหมจริยากถา จบ

อรรถกถาพรหมจริยกถา


ว่าด้วยการประพฤติพรหมจรรย์


บัดนี้ ชื่อว่า เรื่องประพฤติพรหมจรรย์. ในปัญหานั้น การ
อยู่ประพฤติพรหมจรรย์มี 2 อย่าง คือ การเจริญมรรค 1. การ
บรรพชา 1. การบรรพชา ย่อมไม่มีในเทพทั้งหลาย. เว้นอสัญญีสัตว์
แล้ว การเจริญมรรค ท่านไม่ปฏิเสธในเทพทั้งหลายที่เหลือ.
ในปัญหานั้น ชนเหล่าใดมีความเห็นผิดดุจนิกายสมิติยะทั้งหลาย
ผู้มีความเห็นผิดไม่ปรารถนาการเจริญมรรคในเทพทั้งหลายที่สูงกว่าชั้น
ปรนิมมิตวสวัตตี คำถามของสกวาที หมายถึงชนเหล่านั้น จึงถามว่า
การปรพฤติพรหมจรรย์ไม่มีในหมู่เทวดา หรือ คำรับรองเป็น
ของปรวาที ว่า ใช่ ด้วยสามารถแห่งลัทธิอันเกิดขึ้นแล้วว่า การ
ประพฤติพรหมจรรย์แม้ทั้งสอง ไม่มีในเทพทั้งหลาย เพราะอาศัย
พระสูตรนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีป ย่อมครอบงำ
มนุษย์ชาวอุตตรกุรุทวีป และเทพทั้งหลายชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ
3 อย่าง ฐานะ 3 เป็นไฉน ? ฐานะ 3 คือ สุรา เป็นผู้กล้า 1.
สติมนฺโต มีสติ 1. พฺรหฺมจริยวาโส การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์
ในพระพุทธศาสนา 1.
ดังนี้. คำถามของสกวาทีอีกว่า เทวดา
ทั้งหมดเป็นผู้เงอะงะด้วยสามารถแห่งธรรมอันเป็นอันตรายแก่การ
ประพฤติพรหมจรรย์แม้ทั้ง 2 หรือ ?
ในคำเหล่านั้น คำว่า ใช้
ภาษาใบ้
ได้แก่ ผู้กล่าวด้วยมือและศีรษะเหมือนคนใบ้.